5 เรื่องน่ารู้ของการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ เลือกอย่างไรให้ถูกใจ ควรดูอะไรบ้าง?
เมล็ดกาแฟนับว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ที่ชื่นชอบในการดื่มกาแฟนั้นต่างจะต้องทำการซื้อและเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีซึ่งการเลือกซื้อรวมไปถึงการเก็บรักษานี้เรียกได้ว่ามีความสำคัญต่อการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟเป็นอย่างมากเพราะฉะนั้นวันนี้เราจึงอยากมาแชร์เรื่องราวดีๆที่น่ารู้เกี่ยวกับการเลือกซื้อรวมไปถึงการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟอย่างถูกวิธีให้ถูกใจผู้บริโภคอย่างเราที่ทำการเลือกซื้อมา แล้วจะมีสิ่งใดที่น่ารู้บ้างมาเริ่มกันได้เลย
เลือกซื้อเมล็ดกาแฟยังไง ให้ถูกใจ เปิดวิธีง่าย ๆ มาดูกัน
หากใครที่เป็นคอกาแฟหรือมีความรู้ในเรื่องของกาแฟเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้นแน่นอนว่าเรื่องของการเลือกซื้อกาแฟสดเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทำให้การชงกาแฟของคุณมีรสชาติรวมไปถึงคุณภาพที่ดีมากยิ่งขึ้นนั่นเองซึ่งเราก็มี 3 สิ่งที่ควรรู้ในการเลือกซื้อกาแฟสดรวมไปถึงการเก็บรักษามาฝากกันดังนี้
1. กฎหลักพื้นฐานของการเลือกซื้อกาแฟสด
ในการเลือกซื้อกาแฟสดแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ก็จะเลือกซื้อกาแฟจากซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่ทางที่ดีหากคุณต้องการกาแฟสดที่มีคุณภาพนั้นก็ควรเลือกที่จะซื้อตามร้าน Coffee Shop ซึ่งจะเป็นร้านที่ทำให้คุณได้รับเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพอีกทั้งยังสามารถที่จะลิ้มลองรวมไปถึงสอบถามพนักงานได้ดีมากกว่าการเข้าซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ตอีกด้วย ซึ่งกฎทองในการเลือกซื้อกาแฟสดก็มีดังนี้
- เลือกซื้อกาแฟที่มีวันที่ขั้วบอกไว้ชัดเจนบนถุง
- พยายามซื้อกาแฟที่คั่วมาไม่เกิน 2 สัปดาห์
- ซื้อกาแฟในปริมาณที่เพียงพอสำหรับดื่ม 2-3 สัปดาห์
- ซื้อกาแฟเป็นเมล็ดแล้วมาบดเองที่บ้าน
2. แบรนด์หรือยี่ห้อ
โดยส่วนใหญ่แล้วความเคยชินของคนที่ซื้อกาแฟหลาย ๆ คนนั้นก็มักจะจากแบรนด์หรือยี่ห้อที่ชื่นชอบกันอยู่เสมอ เพราะจะทำให้คุณนั้นสามารถได้เมล็ดกาแฟที่มีรสชาติถูกใจ และสามารถนำมาชงดื่มกันได้ง่าย ๆ อีกด้วย อีกทั้งการเลือกซื้อจากแบรนด์นั้นจะทำให้คุณได้กาแฟที่มีรสชาติในแบบที่คุณต้องการได้อีกด้วย
3. ราคา
นอกจากเรื่องของแบรนด์แล้วนั้น ก็ยังมีเรื่องของราคาที่ผู้ซื้อหลาย ๆ คนจะใช้เป็นตัวเลือกในการซื้ออีกด้วย ซึ่งในส่วนของราคาของเมล็ดกาแฟนั้นก็จะขึ้นอยู่กับเรื่องของเกรดเมล็ดกาแฟไปในตัว ทำให้เราเห็นว่าในบางยี่ห้อก็จะมีปริมาณและราคาที่แตกต่างกันออกไปตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันเลยนั่นเอง
4. ระดับการคั่ว
ระดับการคั่ว สามารถดูได้ที่ซองบรรจุภัณฑ์ ว่ากาแฟที่คุณต้องการนั้นมีการคั่วอยู่ในระดับใด เพื่อที่จะทำให้ตอบโจทย์กับรสชาติที่คุณต้องการได้มากยิ่งขั้น ไม่ว่าจะเป็นกาแฟคั่วอ่อน ที่มีรสชาติเบาบางและมีความเปรี้ยวซ่อนอยู่ กาแฟคั่วกลาง ที่มีรสชาติกลมกล่อมเข้มกำลังดีไม่ขมจนเกินไป และกาแฟคั่วเข้มสำหรับคนที่ชื่นชอบกาแฟรสเข้มข้นออกไปทางขม
5. ดูวันหมดอายุก่อนซื้อ
โดยปกติแล้วที่บรรจุภัณฑ์ของกาแฟจะมีการใส่เป็นวันที่ควรบริโภคก่อน (BBD) มาว่าเป็นวันไหน หรือหากอยากเพิ่มความมั่นใจนั้นก็สามารถดมได้จากวาล์วหลังซองที่ติดมากับบรรจุภัณฑ์ ซึ่งหากเมล็ดกาแฟนั้นยังคงสดใหม่อยู่ก็จะมีกลิ่นที่หอม แต่หากกลิ่นของกาแฟเริ่มน้อยลงหรือไม่มีกลิ่นแล้วนั้นก็ให้คิดไว้เลยว่าเมล็ดกาแฟนั้นเริ่มเสื่อสภาพและเข่าข่ายที่จะหมดอายุแล้วนั่นเอง
อีกทั้งยังมีเรื่องของรสสัมผัสในปากที่มีความอ่อนละมุนหรือมีความหนักแน่น รวมไปถึงความสมดุลของกาแฟที่ได้รสชาติที่เข้าถึงได้และสามารถผสานกันได้ดี อีกทั้งในเรื่องของรสชาตินี้ก็ยังรวมไปถึงกลิ่นของกาแฟที่ทำให้กาแฟนั้นมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และสื่อถึงคุณภาพของเมล็ดกาแฟได้ดีอีกด้วย
การเก็บรักษากาแฟไว้ในบ้าน
- เก็บไว้ในบรรจุภัณฑ์ที่มีการติดอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้อากาศนั้นเข้าไปในภาชนะที่ใช้บรรจุเมล็ดกาแฟ
- เก็บไว้ในที่มืดและทึบแสง เพราะแสงแดดนั้นเป็นตัวการในการที่จะทำให้คุณภาพของกาแฟเสื่อมได้อย่างรวดเร็วหรือการเก็บไว้ในกล่องพลาสติกใสนั้นก็ควรที่จะเก็บเอาไว้ในกล่องทึบอีกหนึ่งครั้งเพื่อไม่ให้แสงสามารถส่องกระทบได้นั่นเอง
- ควรเก็บไว้ในที่แห้งและห่างจากความชื้น ซึ่งหากต้องการเก็บกาแฟไว้เป็นเวลานาน ๆ นั้นก็แนะนำว่าให้เก็บไว้ในช่องแช่แข็งเพื่อชะลออายุกาแฟ แต่สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดเลยคือเรื่องของการบรรจุกาแฟเอาไว้ในบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ให้อากาศเข้าได้นั่นเอง
ดังนั้นหากเลือกซื้อเมล็ดกาแฟเมื่อไหร่ให้จำกฎเหล็ก 3 สิ่งนี้เอาไว้ก่อนเลือกซื้อเพื่อที่จะทำให้คุณนั้นได้รับเมล็ดกาแฟที่มีความสดและมีคุณภาพดีเหมาะแก่การนำมาบดในการชงกาแฟให้มีรสชาติที่มีเอกลักษณ์และมีกลิ่นที่ชวนลิ้มลองแบบที่คุณต้องการนั่นเองรวมไปถึงวิธีการเก็บรักษาที่ถูกวิธีก็จะทำให้เมล็ดกาแฟของคุณคงไว้ซึ่งคุณภาพของกลิ่นและรสชาติที่ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย